วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ประวัติและความเป็นมาของพระอภิธรรมปิฎก

https://www.matichonweekly.com/column/article_91172

หลวงปู่ดุลย์สอนภาวนา

หลวงปู่ได้รับนิมนต์ไปโปรดญาติโยม
ที่กรุงเทพฯ เมื่อ ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๑
ในช่วงสนทนาธรรม ญาติโยมสงสัยว่า 
"พุทโธ"เป็นอย่างไร หลวงปู่ได้เมตตา
ตอบว่า ...
เวลาภาวนาอย่าส่งจิตออกนอก
ความรู้อะไรทั้งหลายทั้งปวงอย่าไปยึด
ความรู้ที่เราเรียนกับตำรับตำราหรือจาก
ครูบาอาจารย์ อย่าเอามายุ่งเลย ให้ตัด
อารมณ์ออกให้หมด แล้วก็ภาวนาไปให้มันรู้
รู้จากจิตของเรานั่นแหละ จิตของเราสงบ
เราจะรู้เอง ต้องภาวนาให้มากๆ เข้า
เวลามันจะเป็น จะเป็นของมันเอง
ความรู้อะไรๆ ให้มันออกจากจิตของเรา
ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนั่นแหละ
เป็นความรู้ที่ลึกซึ้งถึงที่สุด ให้มันรู้ออก
จากจิตเองนั่นแหละมันดี คือจิตมันสงบ
ทำจิตให้เกิดอารมณ์อันเดียว อย่าส่งจิต
ออกนอก ให้จิตอยู่ในจิต แล้วให้จิตภาวนา
เอาเอง ให้จิตเป็นผู้บริกรรมพุทโธ พุทโธ
อยู่นั่นแหละ แล้วพุทโธนั่นแหละจะผุดขึ้น
ในจิตของเรา เราจะได้รู้จักว่า ...
"พุทโธ" นั้นเป็นอย่างไร แล้วรู้เอง! เท่านั้น
แหละไม่มีอะไรมากมาย

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2561

สังขาร3

"ลม" เป็น "กายสังขาร" คือเป็นผู้สร้างกาย
"วจีสังขาร" คือ ความคิดที่จะต้องพูด
แต่ยังไม่ได้พูดออกมา
เป็นแต่เพียงคิดไว้ว่าจะพูด
"จิตตสังขาร" คือ เรื่องที่คิดนึกขึ้น
แต่ไม่จำเป็นจะต้องพูด
เพียงแต่คิดอย่างเดียวก็รู้เรื่อง
"จิตตสังขาร" กับ "วจีสังขาร" นี้
มีลักษณะใกล้เคียงกันมากที่สุด
การปฏิบัติจิตใจนี้ สิ่งสำคัญก็คือ
ให้พยายามระงับ "วจีสังขาร"
มิให้บังเกิดมี จะเนื่องด้วยสัญญาอดีต
อนาคตก็ตาม ต้องปัดทิ้งให้หมด
"กายดับ" ไม่ใช่หมายความว่า ไม่มีกาย
มี, แต่ไม่คิดปรุง เพียงแต่รู้สักว่ากายเท่านั้น
“กายสังขาร” คือตัว ปัจจุบัน
ของ “รูป” ได้แก่ลมหายใจ
“จติตสังขาร” คือ ความรู้
เป็นที่ตั้งของความคิด
เป็นปัจจุบันของ “นาม”
“ลม” เปรียบเหมือนคลื่น
“สติ” เปรียบเหมือนเรือ
“จิต”ก็คือคนที่นั่งอยู่ในเรือ
ถ้าคลื่นลมไม่สงบ เรือก็เอียงหรือล่ม
คนในเรือก็ต้องตายหรือได้รับความลำบาก
ให้ทำจิตของเราให้นิ่งเหมือนกับเรือ
ที่ทอดสมออยู่กลางทะเล
คลื่นก็ไม่มี ลมก็ไม่พัด เรือก็ไม่เอียง
คนในเรือคือใจของเราก็สงบนิ่งเป็นสุข
“จิต” อันนี้แหละเป็น “อริยมรรค”
เป็นจิตที่มีอสิระ มีอำนาจเต็มที่
พ้นจากอำนาจของนิวรณ์เป็น “จิตตวิมุติ”
การพูด การทำ การคิด เป็นเรื่องเล่นๆ
เป็นเรื่องของโลกเป็นเรื่องของเด็ก
ถ้าใจเรายังเป็นเด็กอยู่
ก็ย่อมจะไม่ได้สมบัติของพระอริยเจ้า
กายสงบก็ได้วิชาจากกาย
จิตสงบก็ได้วิชาจากจิต
ลมสงบก็ได้วิชาจากลม
เมื่อ “จิต” ของเราไม่เกาะเกี่ยว
กับสัญญาอารมณ์ใดๆ
เพ่งเฉพาะอยู่แต่ลมเข้าลมออกอย่างเดียว
“จิต” นั้น ก็ย่อมจะเกิดแสงสว่างขึ้น คือ “วิชา”
เหมือนลูกปืนที่แล่นไปในอากาศ
ย่อมจะเกิดเป็นไฟ คือ
“แสงสว่าง” ขึ้นเช่นเดียวกัน
“เมตตา” เราทำให้กาย
“กรุณา” เราทำให้กับวาจา
“มุทิตา” ทำให้แก่จิต
“อุเบกขา” ทำให้แก่อายตนะ
คือวางเฉยเป็นสมาธิฯ เรียกว่า “ฉฬงฺคุเปกฺขา”
สัญญา อดีต อนาคต เป็น “โลก”
ปัจจุบัน เป็น “ธรรม”
สัญญาอะไรนิดเดียวก็ไม่เอา ไม่ให้เกี่ยว,
เกี่ยวนิดเดียวก็เป็นภพแล้วก็ต้อง
เกิด แก่ เจ็บ ตาย อีก
ทำอะไรต้องทำให้จริง
จึงจะได้พบของจริง
การทำจริงนั้นนิดเดียวก็พอ
เงินแท้ล้านเดียวย่อมดีกว่าเงินเก๊ ๑๐ ล้าน
พูดอะไรก็อยู่กับพูด ทำอะไรก็ทำอยู่กับทำ
กินก็อยู่กับกิน ยืนก็อยู่กับยืน
เดินก็อยู่กับเดิน นั่งก็อยู่กับนั่ง
นอนก็อยู่กับนอน
อย่าให้ใจมันคืบหน้าไปยิ่งกว่าความจริง
“สัญญา” ในดีนิดหนึ่งก็ไม่มี,
ในชั่วนิดหนึ่งก็ไม่มี,
ทำจิตให้เป็น “ฉฬงฺคุเปกฺขา”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“น จ กิญฺจิ โลเกอุปาทิยติฯ”
บุคคลที่ไม่ยึดถือสิ่งใดๆ ในโลก
เป็นผู้มีความสุข
ท่านพ่อลี ธัมฺมธโร

วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

สมาชิกจิตสิกขารุ่นแรก 1/61

บรรยายธรรมให้คณะศิษยานุศิษย์จิตสิกขารุ่น1/61

 ณ สวนแก้วเจ้าจอม บ้านหนองยาว ต.หนองใหญ่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี 
วันที่ 2-4 กุมภาพันธ์2561

โดยพระอาจารย์มหาประสพ ปญฺญาสิริ
วัดป่าทมอกระเพอ สุรินทร์













----------------
ภาพสถานที่สวนแก้วเจ้าจอม












คณะศรัทธาญาติโยมจากนิคมฯ

จากซ้าย พ่อทวุช เจ้าของสวนแก้วเจ้าจอม-โยมฉลวย-โยมเขียว-โยมน้อง-ลูกชายโยมน้อง




สถานที่สวนแก้วเจ้าจอม

วันพุธที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ถวายน้ำ

๒. สานุวาสีเถรเปตวัตถุ
ว่าด้วยเปรตญาติพระสานุวาสีเถระ
[๑๑๒] พระเถระชาวกุณฑินครรูปหนึ่ง อยู่ที่ภูเขาสานุวาสี มีนามว่า โปฏฐ ปาทะ เป็นสมณะผู้มีอินทรีย์ อันอบรมดีแล้ว มารดาบิดาและพี่ชายของ ท่านเกิดในยมโลก เสวยทุกขเวทนาเพราะทำกรรมลามก จึงไปจาก โลกนี้สู่เปตโลก เปรตเหล่านั้นถึงทุคติ มีช่องปากเท่ารูเข็ม ลำบากยิ่ง นัก เปลือยกายซูบผอม มีความเกรงกลัวสะดุ้งหวาดเสียวมาก มีการ งานทารุณ ไม่อาจแสดงตนแก่พระเถระได้ เปรตผู้เป็นพี่ชายของท่าน ตนเดียว เปลือยกายรีบไปนั่งคุกเข่าประนมมือแสดงตนแก่พระเถระ พระเถระไม่ใส่ใจถึง เป็นผู้นิ่งเดินเลยไป เปรตนั้นจึงบอกให้พระเถระ รู้ว่า ข้าพเจ้าพี่ชายของท่านไปแล้วสู่เปตโลก ข้าแต่ท่านผู้เจริญ มารดา บิดาของท่านเกิดในยมโลกเสวยทุกข์ เพราะทำบาปกรรม จึงไปจาก โลกนี้สู่เปตโลก เปรตผู้เป็นมารดาบิดาของท่านทั้งสองนั้น มีช่องปาก เท่ารูเข็ม ลำบากมาก เปลือยกาย ซูบผอม มีความเกรงกลัวสะดุ้ง หวาดเสียวมาก มีการงานทารุณ ไม่อาจแสดงตนแก่ท่าน ขอท่านจง เป็นผู้มีความกรุณา อนุเคราะห์แก่มารดาบิดา จงให้ทานแล้วอุทิศส่วน กุศลไปให้พวกเรา พวกเราผู้มีการงานอันทารุณ จักยังอัตภาพให้ เป็นไปได้เพราะทานอันท่านให้แล้ว พระเถระกับภิกษุอื่นอีก ๑๒ รูป เที่ยวไปบิณฑบาตแล้ว กลับมาประชุมในที่เดียวกัน เพราะเหตุแห่ง ภัตกิจ พระเถระจึงกล่าวกะภิกษุทั้งหมดนั้นว่า ขอท่านทั้งหลายจงให้ ภัตตาหารที่ท่านได้แล้วแก่ผมเถิด ผมจักทำสังฆทานเพื่ออนุเคราะห์ญาติ ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นจึงมอบถวายพระเถระ พระเถระนิมนต์สงฆ์ ถวายสังฆทานแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้มารดาบิดาและพี่ชาย ด้วยอุทิศ เจตนาว่า ขอทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของเรา ขอญาติทั้งหลาย จงมีความสุขเถิด ในลำดับที่อุทิศให้นั่นเอง โภชนะอันประณีต สมบูรณ์ มีแกงและกับหลายอย่าง เกิดขึ้นแก่เปรตเหล่านั้น ภายหลัง เปรต ผู้เป็นพี่ชายมีผิวพรรณดี มีกำลัง มีความสุข ได้ไปแสดงตนแก่พระเถระ แล้วกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ โภชนะอันมากมายที่พวกข้าพเจ้าได้แล้ว แต่ขอท่านจงดูข้าพเจ้าทั้งหลายยังเป็นคนเปลือยกายอยู่ ขอท่านจง พยายามให้ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ผ้านุ่งผ้าห่มด้วยเถิด พระเถระเลือกเก็บ ผ้าจากกองหยากเยื่อเอามาทำจีวรแล้ว ถวายสงฆ์อันมาแล้วจากจาตุรทิศ ครั้นถวายแล้วได้อุทิศส่วนกุศลให้มารดาบิดาและพี่ชาย ด้วยอุทิศเจตนา ว่า ขอทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลาย ขอพวกญาติของเราจงมีความ สุขเถิด ในลำดับแห่งการอุทิศนั่นเอง ผ้าทั้งหลายได้เกิดขึ้นแก่เปรตเหล่า นั้น ภายหลัง เปรตเหล่านั้นนุ่งห่มผ้าเรียบร้อยแล้วได้มาแสดงตนแก่ พระเถระกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายมีผิวพรรณดี มีกำลัง มีความสุข มีผ้านุ่งผ้าห่มมากกว่าผ้าที่มีในแคว้นของพระเจ้านันทราช ผ้านุ่งผ้าห่มทั้งหลายของพวกเรา ไพบูลย์และมีค่ามาก คือ ผ้าไหม ผ้า ขนสัตว์ ผ้าเปลือกไม้ ผ้าฝ้าย ผ้าป่าน ผ้าด้ายแกมไหม ผ้าเหล่านั้น แขวนอยู่ในอากาศ ข้าพเจ้าทั้งหลายเลือกนุ่งห่มแต่ผืนที่พอใจ (แต่ว่า พวกข้าพเจ้ายังไม่มีบ้านเรือนอยู่) ขอท่านจงพยายามให้พวกข้าพเจ้าได้ บ้านเรือนเถิด พระเถระสร้างกุฎีอันมุงด้วยใบไม้ แล้วได้ถวายสงฆ์ซึ่ง มาแต่จาตุรทิศครั้นแล้วได้อุทิศส่วนกุศลให้มารดาบิดาและพี่ชาย ด้วย อุทิศเจตนาว่า ขอผลแห่งการถวายกุฎีนี้ จงสำเร็จแก่พวกญาติของเรา ขอพวกญาติของเราจงมีความสุขเถิด ในลำดับแห่งการอุทิศนั่นเอง เรือน ทั้งหลาย คือ ปราสาทและเรือนอย่างอื่นๆ อันบุญกรรมกำหนด แบ่งไว้เป็นส่วนๆ เกิดขึ้นแล้วแก่เปรตเหล่านั้น เรือนของพวกเรา ในเปตโลกนี้ ไม่เป็นเช่นกับเรือนในมนุษยโลก เรือนของพวกเราใน เปตโลกนี้งามรุ่งเรืองสว่างไสวไปทั่วทั้ง ๘ ทิศ เหมือนเรือนในเทว โลกแต่พวกเรายังไม่มีน้ำดื่ม ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงพยายามให้ พวกข้าพเจ้าได้ดื่มน้ำด้วยเถิด พระเถระจึงตักน้ำเต็มธรรมกรก แล้ว ถวายสงฆ์ซึ่งมาแต่จาตุรทิศ ครั้นแล้วได้อุทิศส่วนกุศลให้มารดาบิดาและ พี่ชาย ด้วยอุทิศเจตนาว่า ขอผลทานนี้จงสำเร็จแก่พวกญาติของเรา ขอพวกญาติของเราจงมีความสุขเถิด ในลำดับแห่งการอุทิศนั่นเอง น้ำ ดื่มคือสระโบกขรณี กว้าง ๔ เหลี่ยม ลึก มีน้ำเย็น มีท่าราบเรียบดี น้ำเย็นมีกลิ่นหอมหาที่เปรียบมิได้ ดารดาษด้วยกอปทุมและอุบล เต็ม ด้วยละอองเกสรบัวอันล่วงบนวารี ได้เกิดขึ้น เปรตเหล่านั้นอาบและ ดื่มกินในสระนั้นแล้ว ไปแสดงตนแก่พระเถระแล้วกล่าวว่า ข้าแต่ท่าน ผู้เจริญ น้ำดื่มของพวกข้าพเจ้ามากเพียงพอแล้ว บาปย่อมเผล็ดผลเป็น ทุกข์แก่พวกข้าพเจ้า พวกข้าพเจ้าพากันเที่ยวไปลำบากในภูมิภาคอันมี ก้อนกรวดและหน่อหญ้าคา ขอท่านพยายามให้พวกข้าพเจ้าได้ยานอย่าง ใดอย่างหนึ่งเถิด พระเถระได้รองเท้าแล้ว ถวายสงฆ์ซึ่งมาแต่จาตุรทิศ ครั้นแล้วอุทิศส่วนกุศลให้มารดาบิดาและพี่ชาย ด้วยอุทิศเจตนาว่า ขอ ผลทานนี้จงสำเร็จแก่พวกญาติของเรา ขอพวกญาติของเราจงมีความสุข เถิด ในลำดับแห่งการอุทิศนั่นเอง เปรตทั้งหลายได้พากันมาแสดงตน ให้ปรากฏด้วยรถ แล้วกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พวกข้าพเจ้าเป็นผู้อัน ท่านอนุเคราะห์แล้ว ด้วยการให้ข้าว ผ้านุ่งผ้าห่ม เรือน น้ำดื่ม และ ยาน เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงมาเพื่อจะไหว้ท่านผู้เป็นมุนีมี ความกรุณาในโลก.
จบ สานุวาสีเถรเปตวัตถุที่ ๒.
 
 
พระไตรปิฎก

วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2560

สมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน

☇ข้อเปรียบเทียบ
ระหว่างสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน
#เป้าหมาย
สมถกัมมัฏฐาน : ได้ฌาน โลกียอภิญญา
วิปัสสนากัมมัฏฐาน : มรรค ผล นิพพาน

#วัตถุประสงค์
สมถกัมมัฏฐาน : จิตใจสงบ มีแรง มีความสุข มีความดี
วิปัสสนากัมมัฏฐาน : เกิดปัญญา สามารถละกิเลสได้
#ความสำคัญ
สมถกัมมัฏฐาน : เป็นงานสนับสนุน
วิปัสสนากัมมัฏฐาน : เป็นงานหลัก
#จริต (การจำแนกพื้นนิสัยของผู้ปฏิบัติ)
สมถกัมมัฏฐาน : แบ่งเป็น 6 คือ
1.ราคจริต 2.โทสจริต
3.โมหจริต 4. สัทธาจริต
5.พุทธิจริต 6.วิตกจริต
วิปัสสนากัมมัฏฐาน : แบ่งเป็น 2 คือ
1.ตัณหาจริต เหมาะกับการตามดูกายและเวทนา
2.ทิฏฐิจริต เหมาะกับการตามดูจิต และธรรม
#อารมณ์ (สิ่งที่จิตไปรู้)
สมถกัมมัฏฐาน : บัญญัติ หรือ ปรมัตถ์ ก็ได้
โดยมีจิตเป็น 1 มีอารมณ์เป็น 1
อารมณ์ที่แนะนำมี 40 อย่าง
ได้แก่ กสิณ 10 , อสุภะ 10, อนุสติ 10
พรหมวิหาร 4 ,อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1,
จตุธาตุววัตถาน 1, อรูป 4
วิปัสสนากัมมัฏฐาน :
ให้มีสติตามรู้รูปนามตามความเป็นจริง
(โดยมีจิตเป็น 1 มีอารมณ์เท่าไรก็ได้)
ด้วยจิตที่ตั้งมั่น
เรียกว่า สติปัฏฐาน มี 4 อย่าง คือ
1.กายานุปัสสนา สติปัฏฐาน
2.เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน
3.จิตตานุปัสสนา สติปัฏฐาน
4.ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน
#วิธีปฏิบัติ
สมถกัมมัฏฐาน :
1.เพ่งอารมณ์อันเดียวให้แน่วแน่
เรียกว่า "อารัมมณูปนิชฌาน"
2.ใช้วิธีคิดพิจารณาได้ทั้ง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต
3.ต้องอยู่ในสถานที่ซึ่งสงบวิเวก
4.มีจิตที่สงบต่อเนื่องได้ยาวนาน
วิปัสสนากัมมัฏฐาน :
1.ใช้จิตที่ตั้งมั่น เรียกว่า "ลักขณูปนิชฌาน"
ตามเห็น(ด้วยใจ)ในรูปนาม
ว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
2.ต้องมีสติ "ระลึกรู้" หรือ "เห็น(ด้วยใจ)"อารมณ์
ในปัจจุบันเท่านั้น
3.สามารถระลึกรู้รูปธรรมนามธรรม
ได้ในสิ่งแวดล้อมทั่วไป
4.จิตเดินปัญญาเห็นไตรลักษณ์ของรูปนาม
ได้เป็นช่วงๆ อาจจะเกิดสมถะสลับบ้างก็ได้
#เคล็ดวิชา
สมถกัมมัฏฐาน :
1.จิตต้องไปรู้อารมณ์ที่ระลึกแล้วมีความสุข
จิตจึงจะสงบ ห้ามบังคับกดข่มจิต
2.เกิดเมื่อหมดความตั้งใจ
(จากคำสอนของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
วิปัสสนากัมมัฏฐาน :
1.ต้องฝึกให้มีจิต "ผู้รู้" ที่ตั้งมั่นในการรู้อารมณ์ก่อน
เพื่อให้จิตหลุดออกจากโลกของความคิด
มาอยู่กับการ "รู้" ตามความเป็นจริง
จึงจะสามารถเห็นอารมณ์ต่างๆ ผ่านมา
แล้วผ่านไปได้โดยจิตไม่ไหลไปอยู่กับอารมณ์
2.เกิดเมื่อหมดความคิด
(จากคำสอนของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
#ถ้าจิตมีสมาธิไม่พอหรือไม่ถูกต้อง
สมถกัมมัฏฐาน : เกิดนิมิต
วิปัสสนากัมมัฏฐาน : เกิดวิปัสสนูปกิเลส
#ผลที่ได้รับ
สมถกัมมัฏฐาน : มีความสุขที่เหนือกามสุข
ถ้าได้ฌานสามารถข่มกิเลสได้
วิปัสสนากัมมัฏฐาน :
เห็นความจริงของรูปนาม(กายใจ)ว่าเป็นตัวทุกข์
จนคลายความยึดถือและปล่อยวางได้
จนเกิดความหลุดพ้น (วิมุตติ)
🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣
กราบพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
กราบหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
_/|\_ _/|\_ _/|\_
Cr.หนังสือโรดแม็พ ธรรมปฏิบัติ ทางเดินสู่โลกุตตรธรรม : หน้าที่ ๑๗๙-๑๘๐

วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2560

กินเจไม่ได้บุญอย่างที่คิด

"กินเจไม่ได้บุญอย่างที่คิด...กินเนื้อก็ไม่บาปอย่างที่เข้าใจ"!! สมเด็จพระญาณสังวรฯ ตรัสถึงเรื่องกินเจที่คนส่วนใหญ่ยังเข้าใจกันไม่ถูก!!

การกินเจ (ตั้งใจไม่กินเนื้อสัตว์) จริงๆไม่ได้บุญอธิบาย คือ เราไม่กินข้าวขาหมู แล้วคิด(จินตนาการ) ว่า หมูจะไม่ถูกฆ่า เปรียบได้กับเรานั่งอยู่บ้านเฉยๆแล้วคิด(จินตนาการ) ว่า เราไปช่วยสอนหนังสือคนอนาถา บุญที่เราไปสอนหนังสือคนอนาถานั้น ไม่มี ไม่เกิด เพราะเรา นึกๆคิดๆไปเองไม่ได้ทำ ไม่ได้กระทำจริง ถ้าอยากได้บุญ เราต้องช่วยชีวิตสัตว์ มี ๒ ข้อ คือ
๑.ช่วยชีวิตมันโดยการไถ่ชีวิต ซื้อสัตว์ที่กำลังถูกฆ่านำมาปล่อย
๒.เมตตาสัตว์ไม่ทำร้ายมัน อย่างนี้เป็นบุญ
แต่การกินเจ บุญไม่เกิด เพราะเราไม่ได้ลงมือกระทำจริง(ช่วยชีวิตสัตว์) เป็นเพียงแต่คิดไปเอง
พระเทวทัตเคย มาเสนอให้ชาวพุทธไม่กินเนื้อสัตว์พระพุทธเจ้าปฏิเสธ พร้อมให้เหตุผลว่า
๑. เนื้อสัตว์ไม่ใช่ของเหม็น อกุศลกรรมต่างหากที่เป็นของเหม็น
๒. พระต้อง ควรเป็นผู้เลี้ยงง่าย
๓. อนุญาตในการกินเนื้อสัตว์ที่ -ไม่เห็น -ไม่รู้ -ไม่ใช่เนื้อที่ฆ่าโดยเฉพาะให้ตน
๔. อาหารเป็นแค่ของเลี้ยงกายไม่ให้ตาย อย่าสนใจมาก


การรับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นบุญหรือไม่ ?
การที่จะวินิจฉัยว่าการกระทำอะไร เป็นบุญหรือไม่เป็นบุญนั้น ต้องอาศัยกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่าด้วย บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่าง คือ
๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน
๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
๔. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่
๕. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลือขวนขวายในกิจการงานต่างๆ
๖. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
๘. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม
๙. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม
๑๐.ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความคิดเห็นของตนให้ตรง
เมื่อเทียบเคียงกับบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ วิธี แล้ว ไม่พบว่าการรับประทานอาหารมังสวิรัติ คือ รับประทานแต่พืชผักเป็นวิธีทำบุญข้อใดเลย จึงไม่นับว่าเป็นวิธีทำบุญในพระพุทธศาสนา ลองคิดดูว่าถ้าการกินพืช เช่น ผัก หญ้า ได้บุญ แล้วสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร เช่น วัว ควาย แพะ แกะ ก็ต้องได้บุญมากกว่ามนุษย์ เพราะสัตว์พวกนี้กินพืชตลอดชีวิตไม่กินเนื้อสัตว์เลย

การกินเนื้อสัตว์ บาป หรือ ไม่ ?
การที่จะวินิจฉัยว่าบาปหรือไม่บาปนั้น ต้องพิจารณาว่า การกินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้ว เป็นการผิดศีลข้อปาณาติบาต หรือไม่ ศีลข้อปาณาติบาต คือ งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ นั้นจะผิดศีลก็ต่อเมื่อประกอบด้วย องค์ ๕ คือ
๑. ปาโณ สัตว์มีชีวิต
๒. ปาณสญฺญิตา รู้ว่าสัตว์มีชีวิต
๓. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า
๔. อุปกฺกโม พยายามที่จะฆ่า
๕. เตนมรณํ สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น
เมื่อครบองค์ประกอบทั้ง ๕ ข้อ จึงถือว่าเป็นการฆ่าสัตว์ ผิดศีลข้อที่ ๑ เป็นบาป แต่ถ้าไม่ได้ลงมือฆ่าเอง และไม่ได้ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ก็ไม่เป็นบาป ตัวอย่าง เราไปจ่ายตลาด ซื้อกุ้งแห้ง ปลาดุกย่าง ปลาทู เนื้อหมู ฯลฯ เราได้มีส่วนร่วมในการฆ่าสัตว์เหล่านั้นหรือไม่ สัตว์เหล่านั้นย่อมตายก่อนที่เราจะไปซื้อมาเป็นอาหาร ถึงเราจะซื้อหรือไม่ซื้อ สัตว์เหล่านั้นก็ตายอยู่แล้ว เราไม่ได้มีส่วนทำให้ตาย


มีพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า“นตฺถิปาปํอกุพฺพโต”แปลได้ความว่า“บาป ไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ”
การกินผักก็อาจจะต้องฆ่าสัตว์ทางอ้อมไปด้วยเช่นกัน เพราะต้องไถดิน ใส่ปุ๋ย ใช้ยากำจัดแมลง อาจทำให้แมลงต่างๆ ไส้เดือนตายได้ ถ้าแบบนี้บาปก็คงไม่ต้องทำสัมมาอาชีพกันเลย
หลวงปู่แหวนท่านบอกว่า"ไอ้วัวควายกินหญ้าอยู่ตั้งนาน ไม่เห็นเป็นพระอรหันต์ซักตัว"

จากเพจ พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
การกินเจ ไม่ใช่การทำบุญ การกินเนื้อสัตว์ ไม่ใช่การทำบาป คำสอนที่ลึกซึ้ง..อยากให้ลองอ่านกันดู