ความคิดเป็นปกติของจิต ของใจ หยุดไม่ได้ แต่ถ้าจะห้ามจิตไม่ให้ไปปรับอารมณ์แล้วปรุงต่อ นั้นหยุดได้ทำได้ด้วยการฝึกเองเท่านั้น
เราสุขทุกข์กับ จิตไปรับอารมณ์เข้ามา แล้วปรุงแต่งต่อเติมเป็นเรื่องเป็นราวนี่แหละ สำคัญมาก จับประเด็นแห่งสุขและทุกข์ ณ ตรงนี้ไว้ให้ดี แล้วฝึกให้จิตวางลงตรงนี้ อย่าให้ปรุงต่อ ก็จะไม่ทุกข์ ไม่เศร้า
ทุกอย่างต้องฝึก การฝึกก็ต้องมีกติกา มีระเบียบ มีความจริงใจ มีอธิษฐานคือเจตจำนง ตั้งใจฝึกนั่นเอง
ฝืนคือฝึก
ฝืนใจให้บริกรรมบทเดียวนาน ๆ คือการฝึกที่ดีที่สุด เอาตรงนี้ให้จิตจับไว้ เป็นหลัก แล้วจะพบความจริงว่า หยุดจิตได้
พอจิตหยุด มันนิ่ง ไม่มีอารมณ์ใด ๆ เข้ามา จิตจะมีพลังสูงมาก วางเปล่า สว่างไสว เป็นสุข เหนือกว่าสุขใด ๆ ฤทธิ์เดช ปาฏิหาริย์ อยู่ตรงนี้ ไม่ใช่จะแปลงร่างเป็นโน่นเป็นนี่ นั่นยังไม่ใช่หยุด แต่ความมหัศจรรย์คือหยุดจิต จิตนิ่งได้ต่างหากคือ ปาฏิหาริย์
จิตหยุดเช่นกล่าวนี้ เป็นการบรรลุธรรมหรือยัง........ตอบว่ายัง เป็นเพียงผลของการฝึก จิตเป็นสมาธิเท่านั้น การบรรลุธรรม ต้องอาศัยปัญญานำก่อนเสมอ มีสมาธิคอยหนุน........กิเลสยังมีอยู่ครบ เพียงแต่จิตข่มได้ วางได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ถือได้ว่า พบธรรมแล้ว เห็นทางมรรคแล้ว
ข้อแนะนำเพิ่มเติมสำหรับนักฝึกนักค้นหาธรรม
เมื่อฝึกได้สภาวะนี้แล้ว ให้ฝึกต่อ ๆ ไป ให้ปัญญาค่อยผุดขึ้นตามธรรมชาติของมัน ฝึกจิตให้มีพลังให้มาก ๆ อย่าเพิ่งด่วนไปใช้ปัญญานัก จะฟุ้งซ่านกลับไปเป็นศูนย์ แต่ถ้าจะใช้ปัญญา ก็ใช้เพียงเพ่งไปหาอุบายกัมมัฏฐานอย่างเดียว เช่นเพ่งดูร่างกายก็เพ่งให้เป็นอสุภะเท่านั้น หากพลังจิตพอค่อย ๆ แยกรายละเอียด ประคองสมาธิไว้ เป็นหลักก่อน ปัญญาจะค่อย ๆ นำเอง
คำว่า สว่างไสวในที่นี้ไม่ใช่สว่างแบบหลอดไปส่อง หรือแสงอาทิตย์ส่อง หากแต่จิตสว่างคือโล่งไปหมดคล้าย ๆ ความสว่าง ดังนี้
ฝืนคือฝึก
ฝืนใจให้บริกรรมบทเดียวนาน ๆ คือการฝึกที่ดีที่สุด เอาตรงนี้ให้จิตจับไว้ เป็นหลัก แล้วจะพบความจริงว่า หยุดจิตได้
พอจิตหยุด มันนิ่ง ไม่มีอารมณ์ใด ๆ เข้ามา จิตจะมีพลังสูงมาก วางเปล่า สว่างไสว เป็นสุข เหนือกว่าสุขใด ๆ ฤทธิ์เดช ปาฏิหาริย์ อยู่ตรงนี้ ไม่ใช่จะแปลงร่างเป็นโน่นเป็นนี่ นั่นยังไม่ใช่หยุด แต่ความมหัศจรรย์คือหยุดจิต จิตนิ่งได้ต่างหากคือ ปาฏิหาริย์
จิตหยุดเช่นกล่าวนี้ เป็นการบรรลุธรรมหรือยัง........ตอบว่ายัง เป็นเพียงผลของการฝึก จิตเป็นสมาธิเท่านั้น การบรรลุธรรม ต้องอาศัยปัญญานำก่อนเสมอ มีสมาธิคอยหนุน........กิเลสยังมีอยู่ครบ เพียงแต่จิตข่มได้ วางได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ถือได้ว่า พบธรรมแล้ว เห็นทางมรรคแล้ว
ข้อแนะนำเพิ่มเติมสำหรับนักฝึกนักค้นหาธรรม
เมื่อฝึกได้สภาวะนี้แล้ว ให้ฝึกต่อ ๆ ไป ให้ปัญญาค่อยผุดขึ้นตามธรรมชาติของมัน ฝึกจิตให้มีพลังให้มาก ๆ อย่าเพิ่งด่วนไปใช้ปัญญานัก จะฟุ้งซ่านกลับไปเป็นศูนย์ แต่ถ้าจะใช้ปัญญา ก็ใช้เพียงเพ่งไปหาอุบายกัมมัฏฐานอย่างเดียว เช่นเพ่งดูร่างกายก็เพ่งให้เป็นอสุภะเท่านั้น หากพลังจิตพอค่อย ๆ แยกรายละเอียด ประคองสมาธิไว้ เป็นหลักก่อน ปัญญาจะค่อย ๆ นำเอง
คำว่า สว่างไสวในที่นี้ไม่ใช่สว่างแบบหลอดไปส่อง หรือแสงอาทิตย์ส่อง หากแต่จิตสว่างคือโล่งไปหมดคล้าย ๆ ความสว่าง ดังนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น